วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

10 สไตล์หมวกยอดฮิต

Fedora
หมวกทรงฟีโดร่า หรือที่บ้านเรามักเรียกกันว่า “หมวกไมเคิล”หรือ “หมวกอินเดียน่าโจนส์”
เป็นหมวกทรงแรกๆ ในตระกูล
หมวกปานามา หมวกประเภทนี้เริ่มต้นด้วยการเป็นหมวกสาน
จากวัสดุธรรมชาติ (มีต้นกำเนิดมาจากประเทศเอกวาดอร์นะ ไม่ใช่ประเทศปานามาแบบชื่อ
แต่ที่ชื่อนี้เพราะไปโด่งดัง
ที่ปานามา) หมวกทรงนี้ใส่ได้ทั้งหนุ่มๆ และสาวๆ ดูเก๋าใช่เล่น

Trilby
หมวกทรงทริลบี้ เป็นอีกทรงหนึ่งของหมวกปานามา ดูคล้ายๆกับทรงฟีโดร่า แต่ปีกและช่วงบน
ของหมวกจะแคบกว่า ใส่ได้
ทั้งหนุ่มสาว โดยเฉพาะหนุ่มๆ ใส่แล้วดูเท่ ทะมัดทะแมง และขี้เล่น
หมวกทรงทริลบี้นี้ เป็นทรงที่ขายดีมากในเมืองไทยค่ะ

Boater
หมวกโบตเตอร์แปลตรงตัวว่า“หมวกนักพายเรือ” เดิมหมวกทรงนี้เป็นหมวกสำหรับผู้ชายค่ะ
ชายใดสวมใส่จะดูภูมิฐานสง่างามมาก
ต่อมากลายเป็นหมวกที่นิยมใส่ในฤดูร้อน โดยเฉพาะ
นักแล่นเรือ
จึงได้ชื่อว่าโบตเตอร์ ปัจจุบันกลายเป็นหมวกหวานสำหรับสาวๆ ไปซะงั้น
ซึ่งบ้านเราเรียกกันว่า“หมวกทรงเค้ก”

Flatcap
หมวกแฟลตแค๊ป หรือหมวกไอวี่ (Ivy) เป็นหมวกที่มีปีกหมวกแข็งเล็กๆ ที่ด้านหน้า ทรงหมวก
จะกระชับพอดีกับศีรษะ เวลาถอด
วางไว้จะดูแบนราบ จึงเรียกว่าแฟลตแค๊ป หรือหมวกแบน
หมวก
ทรงนี้มีต้นกำเนิดจากอังกฤษ มักทำจากผ้าสักหลาดหรือผ้าฝ้าย มีชื่อเรียกอื่นๆ อีก เช่น
หมวกคนขับรถ หมวกนักกอล์ฟ แต่ที่
คนไทยเรียกแล้วฟังดูเท่ที่สุดคือ “หมวกติงลี่”

News boy
หมวกนิวส์บอย แปลตรงตัวก็คือหมวกเด็กส่งหนังสือพิมพ์เพราะในอดีตเด็กส่งหนังสือพิมพ์นิยม
ใส่กันจนเป็นภาพชินตารวมถึงชนชั้นแรงงาน, คนงานตามโรงงาน, กรรมกรก่อสร้างก็นิยมใส่กันมาก
เหตุผลง่ายๆ... เพราะมันราคาถูกกว่าหมวก
แบบอื่นๆ ค่ะ มีชื่อเรียกอื่นๆ ด้วย เช่น Fisherman’s Cap,
Apple Cap ส่วนคนไทยจะเรียกว่า “หมวกฟักทอง”

Beanie
หมวกบีนนี่ หรือที่อเมริกันเรียกว่าหมวกถุงเท้า ส่วนไทยเราเรียกว่า“หมวกไหมพรม” ซึ่งจริงๆ แล้ว
มันอาจจะทำมาจากวัสดุอื่นที่ไม่ใช่
ไหมพรมเสมอไป ที่มาของชื่อบีนนี่หรือ “ถั่ว” นี้ มีหลายความ
คิดเห็น
แต่ที่เชื่อถือกันมากที่สุดคือสวมแล้วเหมือนหัวเป็นเมล็ดถั่วนั่นเอง ข้อดีของหมวกประเภทนี้
คือดึงลงมาปิดหูได้ นิยมใช้เพื่อให้ความ
อบอุ่น มีทั้งแบบเท่ของหนุ่มๆ และแบบหวานของสาวๆ

Beret
หมวกเบเร่ต์เป็นหมวกทรงกลมแบน ไม่มีปีกหมวก เวลาใส่สามารถจัดทรงหมวกให้ปัดเฉไปได้
หลายแบบ มีต้นกำเนิดในแถบยุโรปตั้งแต่ยุคโรมัน 
เดิมเป็นหมวกของคนเลี้ยงแกะแถบฝรั่งเศส
และสเปน ต่อมามีการผลิตเป็น
สินค้าและได้รับความนิยมในหมู่คนชั้นสูงและเหล่าศิลปิน ใส่แล้ว
ดูเก๋ๆ เท่ๆ 
น่ารัก แสนซน กระรอกชิลจัง โลโก้ของชิลไปไหน ก็ใส่หมวกเบเร่ต์นะจ้ะ

Cloche
Cloche (โคลช) เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่าระฆัง ซึ่งก็คือรูปทรงของหมวกนั่นเอง เป็นหมวกที่
ออกแบบมาสำหรับหญิงสาวโดยแท้จริง หมวกโคลชมัก
ทำจากสักหลาด โชว์รูปทรงอันสวยงาม
ของตัวหมวก และเจ้าของจะสรรหา
สิ่งของมาประดับหมวกเพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้แก่ตนเอง ในอดีต
สาวสังคม
จะนิยมใส่ไปงานเลี้ยง งานเต้นรำ งานแต่งงานฯ ยุคนี้สาวคนไหนหาหมวกโคลชมาใส่
รับรองได้ลุคของสาววินเทจจ๋าแน่นอนค่ะ

Bucket
หมวกบักเก็ตมีต้นกำเนิดโดยชาวไอริช เดิมชาวประมงและเกษตรกรจะนิยมสวมใส่เพราะกันฝนได้ดี
ต่อมากลายเป็นที่นิยมของพรานตกปลาและนักเดินป่า 
เพราะสามารถม้วนเก็บได้โดยไม่เสียทรง
จะหยิบขึ้นมาใส่ตอนไหนก็ได้ และ
จะใส่ยังไงก็ได้เพราะไม่มีด้านหน้าด้านหลัง  เมื่อก่อนคนไทย
นิยมเรียกว่า
“หมวกตกปลา” ตอนนี้เริ่มได้ยินคำว่า “หมวก อ.ศศิน” ^0^

Floppy
หมวกฟลอปปี้ เป็นหมวกปีกกว้างใหญ่ ช่วยบังแดดได้เป็นอย่างดี แถมใส่แล้วดูเฉิดฉายโดดเด่น
จึงทำให้ถูกใจสาวๆ ยิ่งนัก และอย่าเพิ่งมองว่าใช้ได้เฉพาะ
ฤดูร้อน หรือต้องไปชายทะเลนะคะ
หน้าหนาวนี่แหละค่ะแดดแรงนักเชียว



 
หนาวนี้ใครยังไม่มีหมวกเก๋ๆ ต้องลองไปหาดูสักแบบแล้วค่ะ

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Pinterest.com
Tags : หมวกแฟชั่น สไตล์หมวก หมวกสไตล์ต่างๆ หมวกวินเทจ หมวกน่ารัก Fedora Trilby Boater Flat cap Newsboy Beanie Beret Cloche Bucket Floppy หมวกตกปลาหมวกฟลอปปี้ หมวกฟีโดร่า หมวกไมเคิล หมวกอินเดียน่าโจนส์ หมวกโบตเตอร์ หมวกทรงเค้ก หมวกแฟลตแค๊ป หมวกไอวี่ หมวกคนขับรถ หมวกนักกอล์ฟ หมวกติงลี่ หมวกนิวส์บอย หมวกเด็กส่งหนังสือพิมพ์ หมวกฟักทอง หมวกเบเร่ต์ หมวกโคลช หมวกบักเก็ต หมวกตกปลา หมวกฟลอปปี้ หมวกปีกกว้าง

ระบบต่างต่างในร่างกาย

   ระบบต่าง
เรื่อง ร่างกายของเรา 

-----------------------------------------------------------------------------

  1.คำแนะนำการเรียน 
1.1 ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้
1.2 ศึกษาเนื้อหา
1.3 สรุปใจความสำคัญแล้วบันทึกลงสมุดของนักเรียน
1.4 ตอบคำถามกิจกรรมที่ 3
1.5 ตรวจคำตอบจากบัตรเฉลยกิจกรรมที่ 3

  2.จุดประสงค์การเรียนรู้ 
1.บอกตำแหน่งที่ตั้งและหน้าที่สำคัญ ๆ ของอวัยวะต่อไปนี้ได้ คือ หัวใจ ปอด ตับ กระเพาะ
อาหาร ลำไส้เล็ก ไต กระเพาะปัสสาวะ
2.บอกความสัมพันธ์ในการทำงานของอวัยวะในระบบต่าง ๆ ได้

  3.เนื้อหา 
ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย 
 ๆ ในร่างกาย


รูป 3 แสดงอวัยวะบางอย่างของร่างกาย
กิจกรรมเสนอแนะ
      ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำหุ่นจำลองแสดงอวัยวะภายในของคนมาถอดดูอวัยวะภายในต่าง ๆ สังเกตดูว่าอวัยวะแต่ละชนิดตั้งอยู่บริเวณใดบ้าง เสร็จแล้วเก็บเข้าที่ให้เรียบ
ร้อย ขณะถอดชิ้นส่วนอวัยวะขอให้ปฏิบัติอย่างระวัดระวังเพราะหุ่นจำลองมีราคาแพงอาจตกแตกเสียหายได้
      ภายในร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยอวัยวะหลายอย่างซึ่งช่วยกันปฎิบัติหน้าที่ ทำให้ร่างกายคนเราดำรงชีวิตอยู่ได้ ถ้ามีอวัยวะอย่างใดอย่างหนึ่งบกพร่องไปก็จะทำ
ให้ร่างกายเราผิดปกติ อาจเจ็บไข้ได้ป่วยหรือตายได้ การที่อวัยวะต่าง ๆ มารวมกันปฏิบัติหน้าที่นั้นเราเรียกว่าระบบอวัยวะ ซึ่งนักเรียนจะได้ศึกษาจากตารางที่ 4

     ตาราง 4 ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย
ระบบ
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง
1. ระบบหายใจจมูก หลอดลม ปอด
2. ระบบไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองหัวใจ หลอดเลือด ท่อน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลือง ม้าม ไขกระดูก
3. ระบบย่อยอาหารปากและส่วนประกอบในปาก ต่อมน้ำลาย หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก
ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับอ่อน ตับและถุงน้ำดี
4. ระบบต่อมไร้ท่อต่อมไร้ท่อทุกชนิด เช่น ต่อมหมวกไต ต่อมไทรอยด์ ต่อมใต้สมอง รังไข่ อัณฑะ ฯลฯ
5. ระบบขับถ่ายไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ ผิวหนัง ลำไส้ใหญ่
6. ระบบห่อหุ้มร่างกายผิวหนัง ขน เล็บ
7. ระบบโครงกระดูกกระดูก กระดูกอ่อน ข้อต่อ เฮ็นเชี่อมกระดูก
8. ระบบกล้ามเนื้อกล้ามเนื้อยึดกระดูก กล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อหัวใจ
9. ระบบประสาทสมอง ไขสันหลัง เส้นประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก
10. ระบบสืบพันธุ์รังไข่ อัณฑะ อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์ เช่น น้ำเมือก ต่อมลูกหมากและท่อต่าง ๆ

จากตาราง 4 นักเรียนจะสรุปได้ว่า 
   1.ระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทุกระบบมีความสำคัญแตกต่างกัน แต่ละระบบต้องทำงานประสาน สอดคล้องกัน ร่างกายจึงจะแข็งแรงสมบูรณ์
   2.ระบบประสาททำให้คนเราเด่นกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น โดยมีสมองเป็นศูนย์กลางความรู้สึกนึกคิดสติปัญญา มีเหตุมีผล มีความสามารถในการคิดแก้ปัญหา
   3.อวัยวะบางอย่างทำหน้าที่มากกว่า 1 ระบบ ได้แก่ ผิวหนัง ปอด ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน อัณฑะ รังไข่ เป็นต้น
  ผิวหนัง ทำหน้าที่ทั้งในระบบห่อหุ้มร่างกาย ระบบประสาทและระบบขับถ่าย
  ปอด ทำหน้าที่ทั้งระบบขับถ่ายและระบบหายใจ โดยมีการขับถ่ายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาทางลมหายใจและนำก๊าซออกซิเจนเข้าไปในระบบหายใจ
  ลำไส้ใหญ่ ทำหน้าที่ทั้งในระบบย่อยอาหารโดยการดูดน้ำจากกากอาหารเข้าสู่เส้นเลือดและลำไส้ใหญ่ ยังทำหน้าที่ในระบบขับถ่ายโดยการขับถ่ายกากอาหาร
  ตับอ่อน ทำหน้าที่ทั้งในระบบย่อยอาหารและระบบต่อมไร้ท่อ โดยในระบบย่อยอาหารตับอ่อนจะช่วยผลิตน้ำย่อยให้ลำไส้เล็ก ส่วนในระบบต่อมไร้ท่อตับอ่อน จะสร้างฮอร์โมนอินซูลินควบคุมปริมาณการใช้น้ำตาลในเลือด

   ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำหน้าที่แตกต่างกันไปดังนี้  1.ระบบหายใจ(Respiratory System) 
  มีหน้าที่นำออกซิเจนจากปอดไปสู่เซลล์เพื่อเผาผลาญอาหารทำให้เกิดพลังงาน คาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์จะถูกนำออกนอกร่างกายโดยจะถูกลำเลียง มายังปอดและส่งออกทางลมหายใจออก

รูป 4 แสดงระบบหายใจ
อวัยวะที่ใช้ในระบบหายใจ คือ จมูก หลอดลม ปอด

  2.ระบบหมุนเวียนโลหิตและน้ำเหลือง(Circulatory System) 
   มีหน้าที่นำสารต่าง ๆ ไปส่งทั่วร่างกาย เช่น สารอาหาร ก๊าซต่าง ๆ เกลือแร่ ฮอร์โมน และรับของเสียส่งออกนอกร่างกายโดยลำเลียงไปตามเส้นเลือด ภายในเลือดประกอบ ไปด้วยส่วนที่เป็น ของเหลวเรียกว่าพลาสมา ทำหน้าที่ลำเลียงเกลือแร่ ฮอร์โมน แอนติบอดี สารอาหารต่าง ๆ ไปยัง เซลล์ต่าง ๆ และรับของเสียงจากเซลล์ไหลกลับไป ตามท่อน้ำเหลืองเรียกว่าน้ำเหลือง ส่วนเลือดที่เป็น ของแข็งเรียกว่าเกล็ดเลือด ทำหน้าที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล 

รูป 5 แสดงระบบไหลเวียนเลือด
อวัยวะที่ใช้ในระบบหมุนเวียนโลหิตและน้ำเหลือง คือ หัวใจ เส้นเลือด ท่อน้าเหลือง ม้าม ตับ ไขกระดูก ต่อมน้ำเหลือง

  3.ระบบย่อยอาหาร(Digestive System) 

   มีหน้าที่ย่อยโมเลกุลของอาหารที่ใหญ่ ๆ ให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็กจนสามารถดูดซึมได้ เพื่อให้ร่างกายสามารถนำอาหารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ การย่อยอาหารเริ่มตั้งแต่ฟันมีหน้าที่บดอาหารมีลิ้นช่วยเกลี่ยอาหารและรับรสอาหาร ต่อมผลิตน้ำลายจะสร้างน้ำลายมาช่วยย่อยแป้งให้เป็น น้ำตาลมอลโทส อาหารจะถูกส่ง ต่อลงไปตามหลอดอาหารเข้าสู่กระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะย่อย ต่อโดยการบีบตัวปล่อยน้ำย่อยและกรดออกมาทำลายเชื้อโรค อาหารจะถูกส่งต่อไป ยังลำไส้เล็ก ซึ่งลำไส้เล็ก จะย่อยให้อาหารมีโมเลกุลเล็กที่สุดเพื่อให้สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย โดยน้ำตาลทุกชนิดจะถูกย่อยเป็น กลูโคส ไขมันจะถูกย่อยเป็นกรดไขมันและกลีเซอรอล ส่วนโปรตีนจะถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน

รูป 6 แสดงระบบย่อยอาหาร
อวัยวะที่ใช้ในระบบย่อยอาหารมีหลายชนิด คือ ปาก กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ตับอ่อน ตับ ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก

  4. ระบบต่อมไร้ท่อ(Endocrine System) 
   มีหน้าที่สร้างฮอร์โมนควบคุมการทำงานต่างๆของร่างกาย ประกอบด้วยต่อมไร้ท่อทุกชนิดที่อยู่ใน ร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราไทรอยด์ ต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไต รังไข่ อัณฑะ
  5. ระบบขับถ่าย(Excretory System) 
   มีหน้าที่ขจัดและกรองของเสียออกจากร่างกายโดยไตทำหน้าที่ขจัดน้ำ เกลือแร่ ยูเรียและสารพิษ ต่าง ๆ ในรูปของปัสสาวะ ผิวหนังทำหน้าที่ขจัดน้ำและเกลือแร่ ออกมาในรูปของเหงื่อ ลำไส้ใหญ่ขจัด กากอาหารออกทางทวารหนักในรูปของอุจจาระ
   อวัยวะที่ใช้ในระบบขับถ่าย คือ ไต กระเพาะปัสสาวะ ผิวหนัง ลำไส้ใหญ่
  6. ระบบห่อหุ้มร่างกาย(Integumentary system)
   มีหน้าที่ปกคลุมห่อหุ้มร่างกายไม่ให้เกิดอันตราย ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย และมีหน้าที่อื่น ๆ อีกหลายประการ รายละเอียดกล่าวไว้ในหน่วยที่ 2
  7. ระบบโครงกระดูก(Skeletal system)
   มีหน้าที่ช่วยพยุงร่างกายให้เป็นรูปร่างทรวดทรงอยู่ได้ และช่วยป้องกันอันตรายอวัยวะภายในต่าง ๆ มีอวัยวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระดูก กระดูกอ่อน ข้อต่อและเอ็น
   รายละเอียดกล่าวไว้ในหน่วยที่ 3
  8. ระบบกล้ามเนื้อ(Muscular system)
   มีหน้าที่ทำให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเคลื่อนไหวได้ อวัยวะที่เกี่ยวข้องได้แก่ กล้ามเนื้อทุกประเภทในร่างกาย
   รายละเอียดกล่าวไว้ในหน่วยที่ 4
  9. ระบบประสาท(Nervous system)
   มีหน้าที่ควบคุมระบบต่าง ๆ และควบคุมพฤติกรรมของคน ทำให้คนมีความฉลาดกว่าสัตว์อื่น ๆ มีอวัยวะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สมอง ไขสันหลัง เส้นประสาท
   รายละเอียดกล่าวไว้ในหน่วยที่ 5
  10. ระบบสืบพันธุ์(Reproductive System) 
   มีหน้าที่ช่วยดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ไม่ให้สูญพันธุ์ โดยมีอวัยวะต่าง ๆ เกี่ยวข้องดังนี้ คือ รังไข่ มดลูก อัณฑะและต่อมต่าง ๆ

การเขียนเรียงความ

การเขียนเรียงความ ตัวอย่างเรียงความ

By  | March 4, 2014
การเขียนเรียงความ
การเขียนเรียงความ เรียงความที่ดีควรเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเขียนเรียงความเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง เรียงความความรัก เรียงความเรื่องเพื่อน ตัวอย่างเรียงความ เรียงความเรื่องแม่ อื่นๆ เราลองมาดูกันเลย

การเขียนเรียงความที่ดี
    การเขียนเรียงความเป็นพื้นฐานของการเขียนที่สามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้ในการเขียนในรูปแบบอื่น เช่น การเขียนจดหมาย การเขียนนิยาย หรือการเขียนบันทึกต่างๆ ต่างก็ใช้หลักการของการเขียนเรียงความ ซึ่งเป็นศิลปะการเขียนร้อยแก้วอย่างหนึ่งที่ต้องมีหลักการและวิธีเขียนเพื่อให้เรียงความที่เขียนนั้นมีความสละสลวยของภาษาและน่าอ่าน
    วิธีการเขียนเรียงความที่ดีนั้น การเขียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมานั้นควรจะทำการศึกษาข้อมูลเพื่อนำมาเขียนให้ดี เพื่อให้บทความนั้นถูกต้องตามหลักของข้อเท็จจริง ส่วนของเนื้อเรื่องควรมีความสอดคล้องเป็นเอกภาพเดียวกัน และมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันในแต่ละย่อหน้า ตั้งแต่ คำนำ เนื้อเรื่อง จนกระทั่งการปิดเรื่องด้วยบทสรุป ซึ่งทั้งสามส่วนล้วนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในเรียงความที่ขาดไม่ได้    
    1.คำนำ เป็นส่วนเริ่มต้นของเรียงความที่ต้องเริ่มเขียน ซึ่งเป็นการเกริ่นเรื่องเพื่อให้ผู้อ่านทราบว่าเป็นเรียงความเกี่ยวกับเรื่องใด ในส่วนนี้ไม่ควรเขียนให้ลึกมาก แต่ควรจะเป็นการเขียนกว้างๆในเรื่องนั้นๆก่อนที่จะเจาะลึกลงไปในเนื้อเรื่องอีกที
    2.เนื้อเรื่อง เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของเรียงความ เป็นการเขียนเจาะลึกลงไปในเนื้อหา เป็นส่วนที่ผู้เขียนได้ศึกษาข้อมูลมาแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เขียนต้องเขียนข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นเรื่องจริง และนำมาเรียบเรียงอธิบายตามความคิดอ่านของผู้เขียน ดังนั้นจึงต้องเขียนอย่างละเอียดและมีการจัดลำดับย่อหน้าให้เนื้อหามีความสอดคล้องและชัดเจนถูกต้อง เพื่อการเขียนที่ไม่สับสนหรือเกิดการวกไปวนมา สามารถสื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้
    3.บทสรุป เป็นส่วนของการปิดเรื่อง หรือสรุปเนื้อหาตั้งแต่คำนำและเนื้อเรื่อง เป็นการบอกผู้อ่านให้ทราบว่าผู้อ่านได้อ่านมาจนถึงจุดปิดเรื่องแล้ว การเขียนบทสรุปที่ดีนั้นควรเขียนให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่ผ่านมา ไม่นอกเรื่อง ควรเขียนให้ผู้อ่านเกิดความประทับใจ ซึ่งมีวิธีเขียนอยู่หลายวิธีด้วยกัน เช่น การเขียนบทสรุปด้วยการตั้งคำถามให้ผู้อ่านเกิดการฉุกคิด หรือการเขียนด้วยการแสดงความเห็นของตนเองต่อเนื้อเรื่อง ร่วมไปถึงการเขียนโน้มน้าวอารมณ์ของผู้อ่านให้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อหา และพยายามอย่าให้สรุปเกิดความยืดเยื้อจนผู้อ่านรู้สึกว่าเรียงความของเรายังเขียนไม่เสร็จ
    การเขียนเรียงความ ที่ดีนั้นมีหลักการง่ายๆดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่กระนั้นผู้เขียนเรียงความเองก็ต้องฝึกเขียนบ่อยๆ ช่วยให้ภาษาหรือลีลาทางวรรณศิลป์ของตนเองนั้นสวยงามขึ้น เพื่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตามเนื้อเรื่อง และรู้สึกถึงการอ่านที่ไหลลื่นไม่ติดขัดจากภาษาที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ
ตัวอย่างเรียงความ
ตัวอย่างเรียงความ
ตัวอย่างเรียงความของเราก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวกับการประหยัดพลังงาน
ตัวอย่างเรียงความ
ตัวอย่างเรียงความ

การเขียนย่อความ

การเขียนย่อความ

คือ การจับใจความสำคัญ จับประเด็นสำคัญของเรื่องที่ได้อ่าน ได้ฟังหรือได้ดูมาอย่างย่อๆแล้วนำมาเรียบเรียงใหม่ให้ได้ความครบถ้วน สั้น กระชับ ด้วยสำนวนภาษาของตนเอง


หลักการเขียนย่อความ


การเขียนย่อความ ควรมีหลักในการเขียน ดังนี้

๑. อ่านเรื่องที่จะย่อความให้จบอย่างน้อย ๒ ครั้ง เพื่อให้ทราบว่าเรื่องนั้นกล่าวถึงใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร และผลเป็นอย่างไร
๒. บันทึกใจความสำคัญของเรื่องที่อ่าน เเล้วนำมาเขียนเรียบเรียงใหม่ด้วยสำนวนของตนเอง
๓. อ่านทบทวนใจความสำคัญที่เขียนเรียบเรียงแล้ว จากนั้นแก้ไขให้สมบูรณ์ โดยตัดข้อความที่ซ้ำซ้อนกันออก เพื่อให้เนื้อหากระชับ และเชื่อมข้อความให้สัมพันธ์กันตั้งเเต่ต้นจนจบ
๔. เขียนย่อความให้สมบูรณ์ โดยเขียนแบบขึ้นต้นของย่อความตามรูปแบบของประเภทข้อความนั้นๆ เช่น การย่อนิทาน การย่อบทความ
๕. การเขียนย่อความไม่นิยมใช้สรรพยามบุรุษที่ ๑ และสรรพนามบุรุษที่ ๒ คือ ฉัน คุณ ท่าน แต่จะใช้สรรพนามบุรุษที่ ๓ เช่น เขา และไม่เขียนโดยใช้อักษรย่อ นอกจากนี้ หากมีการใช้คำราชาศัพท์ต้องเขียนให้ถูกต้อง ไม่ควรตัดทอน



รูปแบบการเขียนย่อความ



๑. การย่อนิทาน นิยาย พงศาวดาร ให้บอกประเภท ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง ที่มาของเรื่องเท่าที่ทราบ เช่น 
.jpg

๒. ย่อคำสอน คำกล่าวปาฐกถา ให้บอกประเภท ชื่อเรื่อง เจ้าของเรื่อง ผู้ฟัง สถานที่ และเวลาเท่าที่จะทราบได้ เช่น
.jpg


๓. การเขียนบทความทางวิชาการ ให้บอกประเภท ชื่อเรื่อง เจ้าของเรื่อง ที่มาของเรื่อง เช่น

.jpg

๔. ย่อบันทึกเหตุการณ์(จดหมายเหตุ)
.jpg

กลอนแปด

กลอนแปด

กลอนแปด เป็นคำประพันธ์อีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมกันทั่วไป เพราะเป็นร้อยกรองชนิดที่มีความเรียบเรียงง่ายต่อการสื่อความหมาย และสามารถสื่อได้อย่างไพเราะ ซึ่งกลอนแปดมีการกำหนดพยางค์และสัมผัส มีหลายชนิดแต่ที่นิยมคือ กลอนสุภาพ
กลอนแปด

ลักษณะคำประพันธ์
๑.  บท บทหนึ่งมี ๔ วรรค
วรรคที่หนึ่งเรียกวรรคสดับ      วรรคที่สองเรียกวรรครับ
วรรคที่สามเรียกวรรครอง       วรรคที่สี่เรียกวรรคส่ง
แต่ละวรรคมีแปดคำ จึงเรียกว่า กลอนแปด
๒.  เสียงคำ กลอนทุกประเภทจะกำหนดเสียงคำท้ายวรรคเป็นสำคัญ กำหนดได้ ดังนี้
          คำท้ายวรรคสดับกำหนดให้ใช้ได้ทุกเสียง
          คำท้ายวรรครับกำหนดห้ามใช้เสียงสามัญกับตรี
          คำท้ายวรรครองกำหนดให้ใช้เฉพาะเสียงสามัญกับตรี
          คำท้ายวรรคส่งกำหนดให้ใช้เฉพาะเสียงสามัญกับตรี
 ๓. สัมผัส
          ก. สัมผัสนอก หรือสัมผัสระหว่างวรรค อันเป็นสัมผัสบังคับ มีดังนี้
คำสุดท้ายของวรรคที่หนึ่ง (วรรคสดับ) สัมผัสกับคำที่สามหรือที่ห้า ของวรรคที่สอง (วรรครับ)
คำสุดท้ายของวรรคที่สอง (วรรครับ) สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่สาม (วรรครอง) และคำที่สามหรือที่ห้าของวรรคที่สี่ (วรรคส่ง)
สัมผัสระหว่างบท ของกลอนแปด คือ
คำสุดท้ายของวรรคที่สี่ (วรรคส่ง) เป็นคำที่ส่งสัมผัสบังคับให้บทต่อไปต้องรับสัมผัสที่คำสุดท้ายของวรรคที่สอง (วรรครับ)
ข.   สัมผัสใน ในแต่ละวรรคของกลอนแปด แบ่งช่วงจังหวะออกเป็นสามช่วง ดังนี้
หนึ่งสองสาม – หนึ่งสอง – หนึ่งสองสาม
ฉะนั้นสัมผัสในจึงกำหนดได้ตามช่วงจังหวะในแต่ละวรรคนั่นเอง ดังตัวอย่าง
อันกลอนแปด – แปด คำ – ประจำวรรค
วางเป็นหลัก – อัก ษร – สุนทรศรี
ตัวอย่างกลอนแปด
เรื่องกานท์กลอนอ่อนด้อยค่อยค่อยหัด
แม้นอึดอัดขัดใจอย่าไปเลี่ยง
ทีละวรรคถักถ้อยนำร้อยเรียง
แม้ไม่เคียงเยี่ยงเขาจะเศร้าไย
วางเค้าโครงโยงคำค่อยนำเขียน
เฝ้าพากเพียรเจียรจารนำขานไข
จะถูกนิดผิดบ้างช่างปะไร
เขียนด้วยใจใฝ่รักอักษรา
แม้ไม่เก่งเพลงกลอนยังอ่อนด้อย
แต่ใจรักถักถ้อยร้อยภาษา
แม้ถ้อยคำนำเขียนไม่เนียนตา
อย่าโมโหโกรธาต่อว่ากัน
ทุกทุกวรรคถัก-ร่ายหมายสืบสาน
ทุกอักษรกลอนกานท์บนลานฝัน
อาบคุณค่าช้านานแห่งวารวัน
เป็นของขวัญค่าล้นเพื่อชนไทย….
“victoria secret klonthaiclub.com
…เด็กอัญมณีมีเสน่ห์ ทั้งสวยเท่ห์มากมายชายและหญิง
แสงระยิบระยับวับวาวจริง ดั่งมนต์สิงอยู่รูปจูบแก้วพลอย
…ไม่เป็นสองรองใครไทยประดิษฐ์ งามวิจิตรเหลี่ยมพราวราวสุดสอย
มีเพชรนิลกลิ่นนางมิจางรอย ใจเฝ้าคอยถอยเพชรเก็จมณี…
“ตะวันฉาย klonthaiclub.com
ข้อสังเกต
กลอนทุกประเภทบังคับเสียงคำท้ายวรรคเป็นสำคัญ สัมผัสนอกระหว่างวรรค เฉพาะวรรค
ที่สอง (วรรครับ) และวรรคที่สี่ (วรรคส่ง) นั้น จะรับสัมผัสที่คำที่สามหรือคำที่ห้าย่อมได้เสมอ
ส่วนสัมผัสในนั้นจะใช้สัมผัสสระหรืออักษรก็ได้ และสัมผัสสระจะใช้สระเสียงสั้นสัมผัสกับ
สระเสียงยาวก็ได้ เช่น
“อ่านเขียนคล่องท่องจำตามแบบครู”

นิสัยของสุนัขสายพันธุ์ต่างๆ

นิสัยของสุนัขสายพันธุ์ต่างๆ


สุนัขต่างสายพันธุ์ย่อมมีนิสัยแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ขนาดใหญ่หรือสายพันธุ์ขนาดเล็ก ดังนั้นเจ้าของสุนัขจึงควรศึกษาถึงลักษณะประจำของสุนัขแต่ละสายพันธุ์อย่างละเอียด ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสุนัขมาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว
1. ปั๊ก
(1) ปั๊ก
เป็นสุนัขหน้า ตายับย่นที่มีเสน่ห์สุดบรรยาย “ปั๊ก” เป็นสุนัขเก่าแก่ที่สุดพันธุ์หนึ่ง ว่ากันว่าเคยเป็นสุนัขในพระราชสำนักยุคพระนางซูสีไทเฮา “ปั๊ก” ติดคนรักและเจ้าของชนิดนั่งมองหน้าได้กันเป็นวัน อายุยืน เหมาะที่จะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน แต่แพ้อากาศร้อน จึงไม่เหมาะจะเลี้ยงไว้นอกบ้าน
2. โกลเด้น รีทรีฟเวอร์
(2) โกลเด้น รีทรีฟเวอร์
หากคุณต้องการมีสุนัขที่รักคุณแบบมอบ กายถวายชีวิต คุณจะต้องเลือก”โกลเด้น รีทรีฟเวอร์” เพราะแววตาที่เขามองคุณนั้นเปี่ยมล้นด้วยความรัก มีขนสีทองสลวย รูปร่างสง่างาม ฉลาด ฝึกง่าย กระตือรือร้น แต่เฝ้าบ้านไม่ได้เพราะเป็นมิตรกับทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งขโมย
3. ไซบีเรียน ฮัสกี้
(3) ไซบีเรียน ฮัสกี้
สุนัขสัญชาติรัสเซีย มีขนสวยและหนา ตาแปลกและสวยมาก รูปร่างสง่างาม ปราดเปรียว ว่องไว รักอิสระ ไม่ชอบถูกกักขังและมีพลังงานเหลือเฟือ หากคิดจะเลี้ยงพันธุ์นี้ต้องมีอาณาบริเวณให้เค้าวิ่ง และรั้วรอบขอบชิดพอสมควร ไม่งั้นเขาอาจหนีออกจากบ้านได้
4. บาสเซ็ทฮาว
(4) บาสเซ็ทฮาว
เป็นสุนัขขนาดกระทัดรัด หูยาว ขาสั้น เมื่อเทียบกับขนาดลำตัว มีขน2-3สี นิสัยร่าเริง รักอิสระมองโลกสดใส ถ้าไม่ได้เจ็บป่วยจริงจะไม่เห็น บาสเซ็ทฮาว ซึมเศร้าเลย จึงเหมาะที่จะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน
5. เวสตี้
(5) เวสตี้
เป็นสุนัขสีขาวยอดนิยม แต่มีไม่มากนัก มีเสน่ห์ ร่าเริง น่ารัก ช่างประจบและขนาดเล็ก น้ำหนัก โตสุดไม่เกิน 8 กก. เวสตี้เป็นหมาติดคนอย่างมาก จัดเป็นสุนัขที่เป็นได้ทั้งเพื่อนและอารักขา (แบบจุ๋มจิ๋ม) เพราะหูไว เห่าเก่ง (แต่ไม่พร่ำเพื่อ)
6. ชิวาวา
(6) ชิวาวา
เป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่สุด จึงนิยมใส่กระเป๋าพกติดตัวไปทุกที่  เห็นตัวเล็กอย่างนี้ ลักษณะเด่นคือ ความสง่างาม คล่องแคล่วว่องไวและตื่นตัวตลอดเวลา
7. เฟรนซ์ บลูด๊อก
(7) เฟรนซ์ บลูด๊อก
สุนัขสัญชาติฝรั่งเศส ขนาดกระทัดรัด แข็งแรง มีหูคล้ายค้างคาว นิสัยขี้เล่น หนังบริเวณลุกกระเดือกค่อนข้างย่น ขนมีหลายสี ทั้งน้ำตาล ขาว ขาว-น้ำตาล ขนสั้นนุ่ม น่ากอดน่าสัมผัส ถ้าปล่อยให้อ้วนมักมีปัญหาทางเดินหายใจ
8. บิชอง ฟริเซ่
(8) บิชอง ฟริเซ่
นิสัยร่าเริงแจ่มใส ขนสีขาวปุกปุยเหมือนปุยเมฆ น้ำหนักเพียง 3-6กก.
9. ชิสุ
(9) ชิสุห์
มีความโดดเด่นที่ขนสวย แต่งทรงได้หลากหลาย  มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ไม่ชอบการฝึกสอน ชอบให้คุณมาอุ้มมากกว่าที่จะเดินไปให้อุ้ม คุณต้องอ้อนเค้า…ไม่ใช่รอให้เขามาอ้อนคุณ
10. แจ็ค รัสเซล เทอร์เรีย
(10) แจ็ค รัสเซล เทอร์เรีย
สุนัขตระกูลผู้ดีอังกฤษ นิสัยร่าเริง เป็นกันเอง แบบสุดๆ กระทัดรัด ขาสั้น รักสนุก กระตือรือร้น เป็นมิตร จงรักภักดีต่อเจ้าของและใช้เฝ้าบ้านได้ดีเยี่ยม
11. บีเกิ้ล
(11) บีเกิ้ล
กินเก่ง แบบยอมตายดีกว่าจะอด และมีจมูกดมกลิ่นเป็นเลิศ และมักจดจ่อต่อกลิ่นที่สนใจเป็นเยี่ยม เป็นสุนัขยอดนิยมในอเมริกา (และเราจำได้ว่าเป็นพระเอกหนังเรื่อง Under Dog ด้วยนะ)
12. มินิเจอร์ ชเนาเซอร์
(12) มินิเจอร์ ชเนาเซอร์
มีขนตายาวเป็นพุ่ม ขนรอบปากยาวรุงรัง จึงต้องตัดแต่ง คางมีเครายาวเหมือนแพะ นิสัยเป็นมิตร ร่าเริง ขี้อ้อนเหลือร้าย
13. ลาบาดอร์ รีทรีฟเวอร์
(13) ลาบาดอร์ รีทรีฟเวอร์
มีนิสัยตอบสนองเร็ว เป็นมิตร สงบ เรียบร้อย ซื่อสัตย์ ฉลาด รักเจ้าของ นิยมนำมาฝึกให้นำคนตาบอด และทำหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพ โครงสร้างบึกบึน น่าเกรงขาม
14. เซนต์ เบอร์นาร์ด
(14) เซนต์ เบอร์นาร์ด
เป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ มีกำลังมาก มีนิสัยชอบช่วยเหลือ สุภาพอ่อนโยน ผิดกับรูปร่างที่น่าเกรงขาม
15. ปอมเมอเรเนียน
(15) ปอมเมอเรเนียน
มีขนหนาหลายชั้น ร่าเริง ฉลาดขี้อ่อน อยากรู้อยากเห็น แววตาแสดงถึงความฉลาดอย่างชัดเจน
16. อัลเซเชี่ยน(เยอรมันเชพเิพิด)
(16) อัลเซเชี่ยน
เป็นสุนัขที่ฉลาด เป็นมิตร การฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งตั้งแต่เล็กจะช่วยดึงความสามารถพิเศษของเค้าออกมา
17. ดัชชุน
(17) ดัชชุน
ลำตัวยาว ขาสั้น แบ่งย่อยได้หลายสายพันธุ์ ขนเรียบ ขนยาว ขนหยิก ร่าเริง ฉลาด ดมกลิ่นดีเยี่ยม ความอดทนสูง สามารถเฝ้ายามได้ดี เป็นสัตว์ที่ตื่นตัวเสมอ และเห่าเสียงดัง
18. บลูด็อก
(18) บลูด็อก
เป็นสุนัขที่มีกำลังมากและตัวใหญ่ เป็นสุนัขที่มีเสน่ห์ เชื่อง ฉลาด อดทน  มีขนสั้นตรง นุ่ม มีสีน้ำตาล-ขาว  น้ำตาล-แดง หรือหลายสีปนกัน เช่น น้ำตาลมีปื้นขาว
19. เชา เชา
(19) เชา เชา
มีต้นกำเนิดที่ประเทศจีน เป็นพันธุ์ขนหยาบ มีขนหนาหลายชั้นและฟูตรง นิสัยร่าเริง รักอิสระ กล้าหาญ ฉลาด รักเจ้าของนิยมใช้เฝ้าบ้าน เป็นสุนัขพันธุ์เดียวที่มีลิ้นดำ
20. ร็อตไวเลอร์
(20) ร็อตไวเลอร์
มีสีดำตลอดตัว อาจมีสีน้ำตาลปนเข้มบ้างเล็กน้อย มีโครงสร้างแข็งแรงมาก เป็นสุนัขที่ฉลาด ฝึกง่าย และรักที่จะทำงาน มีนิสัยมุ่งมั่นหวงแหนเขตแดนอย่างมาก จึงมักมีอารมณ์ดุร้ายได้หากโดนแกล้งหรือแหย่ให้โมโห แต่ถ้าเลี้ยงแบบให้ความรักเค้าและอ่อนโยนต่อเค้า คุณก็จะได้อารมณ์เยี่ยงนั้นกลับมาเป็นทวีคูณ
21. บอสตัน เทอร์เรีย
(21) บอสตัน เทอร์เรีย
ถือกำเนิดในสหรัฐอเมริกา นิสัยกล้าหาญ ร่าเริง และฉลาด เหมาพเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนในบ้าน ไม่ค่อยอยู่นิ่ง
22. ยอร์คเชีย เทอร์เรีย
(22) ยอร์คเชีย เทอร์เรีย
มีขนยาวเป็นมัน เรียบตรงและนิ่มสลวยเหมือนเส้นไหม เป็นสุนัขเลี้ยงง่าย นอกจากเรื่องขนที่ต้องดูแลแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นให้จุกจิกกวนใจ เป็นสุนัขฉลาด กล้าหาญเกินขนาดตัวที่เล็กจิ๋ว ชอบทำตัวเป็นผู้นำจ่าฝูง มีจริตกิริยาที่น่ารัก
23. พุดเดิ้ล
(23) พุดเดิ้ล
เป็นสุนัขที่นิยมเลี้งในบ้านเรา ทั้งพุดเดิ้ลทอย และทีคัพ นิสัยคล้ายกันทั้ง 2 พันธุ์  คือขี้อ้อน เรียกร้องความรักสุดๆ และมีความรักให้เจ้าของเหลือเฟือ  มีขนหยิกหนา คนเลี้ยงจะสนุกกับการทำ grooming สีทีนิยมมีทั้งขาว น้ำตาลและดำ
24. มอลทิส
(24) มอลทิส
เป็นสุนัขตระกูลทอย เหมาะสำหรับคนที่ชอบสุนัขแบบคุณหนู เพราะตัวเล็ก อ้วนกลม ขาวสะอาดแต่ไม่บอบบาง ตรงข้ามกลับเป็นสุนัขเลี้ยงง่าย มีขนละเอียดอ่อนเหมือนสำลีผสมไหม หน้าหวาน ตาโต เลี้ยงเป็นเพื่อนได้ดี แต่เฝ้าบ้านไม่ได้เพราะแทบไม่เห่าและไม่ระแวงใครเลย
ที่มา :  sutthirak89.exteen.com

รวมพันธุ์แมว

รวมพันธุ์แมว

 
แมวขาวมณี (ขาวปลอด) เป็นแมวไทยพันธุ์แท้ดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่มากที่สุดในปัจจุบัน แม้แมวพันธุ์นี้จะไม่ได้ถูกบันทึกในสมุดข่อยโบราณ แต่สามารถหาหลักฐานได้ตามจิตรกรรมฝาผนังในวัดต่าง ๆ ในเขต ธนบุรี เช่น ในอุโบสถวัดทองนพคุณ
แมวขาวมณีเป็นแมวที่สวยงามมาก มีขนาดปานกลาง ขนสีขาวแน่นอ่อนนุ่ม พันธุ์แท้ต้องมีสีขาวปลอดทั้งตัว ศีรษะคล้ายรูปหัวใจ หน้าผากใหญ่แบน หูใหญ่ตั้งสูงเด่น หางยาวปลายแหลมชี้ตรง ขายาวเรียวได้ส่วนกับลำตัว ดวงตามี 2 สี คือ สีฟ้า หรือ สีเหลืองอำพัน เมื่อเอาแมวขาวปลอด ตาสีฟ้าผสมกับแมวขาวปลอด ตาสีเหลืองอำพัน ลูกผสมที่ออกมาจะมีนัยตา 2 สี คือ ข้างหนึ่งตาสีฟ้า อีกข้างตาสีเหลืองอำพันเรียกกันว่า ODD EYES นิยมเลี้ยงเป็นคู่ เพื่อให้ผลัดกันทำความสะอาดขน ถ้าลี้ยงดูด้วยความรักและเอาใจใส่จะเชื่องมาก เหมาะที่จะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา
คอร์นิชเรกซ์ เกิดจากการผสมพันธุ์ในหมู่แมวพันธุ์เรกซ์ ทำให้ได้แมวที่มีลักษณะพิเศษขนจะม้วนเป็นคลื่นไม่มีขนเล็กๆเป็นขนชั้นเดียว แมวพันธุ์นี้กำเนิดในอังกฤษที่เมือง corwall นั่นเอง เป็นแมวที่มีเสน่ห์มันจะสนุกกับท่านเสมอ มีอะไรก็เล่นหมด ไม่ซึม ช่างประจบ
แมวโคราช (สีสวาด) มีถิ่นเดิมอยู่ที่อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา โบราณเรียกว่า แมวมาเลศ หรือแมวสีดอกเลา เพราะมีสีคล้ายดอกเลา
เมื่อปี พ.ศ. 2502 นางยีน จอห์นสัน ได้นำแมวโคราชกลับไปอเมริกา จากนั้นนิยมเลี้ยงกันมากไม่แพ้แมววิเชียรมาศ ขนาดมีการจัดตั้งสมาคมผู้นิยมเลี้ยงแมวไทยพันธุ์โคราชขึ้นในอเมริกา
แมวโคราชเป็นแมวขนาดกลาง ขนสีเทาออกเงินมันเป็นประกาย ศีรษะเป็นรูปหัวใจ หน้าผากใหญ่และลาด มีคางและกรามแข็งแรง หูตั้งสูงเด่นแสดงออกซึ่งอาการพร้อมอยู่เสมอ ดวงตาใหญ่เป็นประกาย สีของดวงตามี 2 ชนิด คือ ตาสีเขียว และตาสีเหลือง ขณะยังเล็กมีตาสีฟ้า เมื่อโตขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดใส และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอำพันหรือสีเขียวอมเหลืองเมื่อโตเต็มที่
ในอดีตถือว่าแมวสีสวาดเป็นแมวแห่งโชคลาภ นิยมใช้แมวที่มีตาสีเขียว ในพิธีแห่นางแมวขอฝน เชื่อกันว่าสีขนคล้ายสีของเมฆอันเป็นที่มาของฝน ซึ่งสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่พื้นดิน ตาสีเขียวเปรียบเสมือน ความเขียวขจีของกล้าข้าวในนา
ชาร์เทรอ แมวพันธุ์นี้เป็นแมวที่ถือว่ามีสายพันธุ์เก่าแก่อีกพันธุ์หนึ่ง มีต้นกำเนิดในศตวรรษที่ 17 โดยนักบวชชาวฝรั่งเศสได้นำแมวพันธุ์นี้มาจากการเดินเรือท่องเที่ยวแถบแหลมกู๊ดโฮป ในทวีปแอฟาริกา และเป็นผู้นำแมวสายพันธุ์นี้กลับมายังฝรั่งเศสด้วย ลักษณะนิสัย : เป็นแมวที่ใจดีชอบเด็กๆอารมณ์เสียยาก สอนง่าย และไม่ดุร้ายเลย
ตันคินเนสส์ เป็นแมวที่ได้จากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างแมวไทยและแมวที่มีถิ่นกำเนิดใน ประเทศพม่า เป็นทางผสมขึ้นในอเมริกา มีหลายสีเช่นสีช็อคโกแลต สีน้ำตาล สีน้ำเงิน แก้มเทา เป็นต้น เป็นแมวขนาดกลาง หน้าผากรูปสี่เหลี่ยม ปลายหางเรียวเล็ก ลูกนัยน์ ตาสีน้ำเงินแกมเขียว ดวงตารูปเรียวแหลมเป็นประกาย เป็นแมวที่ไม่ชอบทำความสะอาด ตัวเอง ขนของแมวชนิดนี้คล้ายขนของพังพอน
เมนคูน Maine Coon เป็นแมวที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ตามธรรมชาติระหว่างแมวบ้านกับแมวป่าอเมริกันลิงซ์ (American Lynz) คำว่า Maine ของเจ้าตัวโตนั้นมาจากแหล่งกำเนิดที่อยู่ในรัฐ Maine ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนคำว่า Coon นั้น ได้มาจากคำกล่าวของคนพื้นบ้านในสมัยก่อนที่เล่าว่าบรรพบุรุษแมวบ้านของเจ้าเหมียวแอบไปกิ๊กกับตัวแรคคูน จนออกลูกออกหลานมามีหางเป็นพวงสวยงามเหมือนแรคคูนเช่นนี้แล
แจแปนนิส บอยเทล ถือว่าเป็นแมวประจำชนชาติญี่ปุ่นและเป็นสัตว์นำโชคเพราะมีคนทำเป็นตุ๊กตา ภาพเขียน รูปแกะสลักไว้ติดกับร้านค้าบ้านเรือน ในญี่ปุ่นจะเรียกแมวพันธุ์นี้ว่า มิเก (Mi-Ke) แปลว่า สามสี ลักษณะนิสัย : ใจดีเข้ากับคนง่าย ซื่อสัตย์ มีเสน่ห์ไม่ซึมเศร้า
บอมเบย์ เกิดจากนำแมวพม่าสีน้ำตาลเข้มผสมพันธุ์กับแมวอเมริกันขนสั้นสีดำ ผลก็คือ ได้ลูกแมวสีดำขลับ ลักษณะนิสัย :  อ่อนโยนไม่ก้าวร้าวสามารถปรับตัวเข้ากับแมวตัวอื่นๆได้ดีและชอบอยู่กับมนุษย์ไม่ปลีกตัวไปไกล
วิเชียรมาศ สายพันธุ์แท้ จะมีนัยตาสีฟ้าประกายสดใส ขณะอายุน้อยมีขนสีครีมอ่อน เมื่อโตขึ้น สีขนจะเข้ม เป็นสีน้ำตาล มีแต้มสีน้ำตาลไหม้อยู่ 9 แห่ง คือ ปลายจมูก 1 ปลายหูสองข้าง ปลายเท้าทั้งสี่ ปลายหาง 1, และที่อวัยวะเพศ 1 (ทั้งเพศผู้และเพศเมีย) นับเป็นแต้มสีที่อยู่ในตำแหน่งเหมาะเจาะน่าพิศวง แตกต่างจากแมวพันธุ์อื่นที่มักมีแต้มสีเลอะเทอะไม่เป็นที่ และเป็นลักษณะเด่นที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ไม่ว่าจะนำไปผสมกับแมวพันธุ์อื่นจะได้แต้มสีตามร่างกาย ตามตำแหน่งเดียวกันเสมอ แต่รูปร่างจะไม่สง่างามเท่าและอุปนิสัยจะไม่ถ่ายทอดไปยังลูกผสม
หิมาลายัน เป็นแมวลายหลากสี มีต้นตระกูลมาจากทางเปอร์เซีย ต้นตระกูลมีลักษณะผิวแบบ แมวไทยในอเมริกาเหนือ เป็นแมวที่มีแหล่งดั้งเดิมอยู่เทือกเขาหิมาลัย
แองโกล่า เป็นแมวสายพันธุ์หนึ่งจากเมืองแองโกลา ประเทศตุรกี ปัจจุบันเมื่องนี้ ชื่อ Ankara มีขนคล้ายเส้นไหมหนาเหมือนขนแกะแองโกลา ขนละเอียดเงาเป็นมัน วาว ปี1963 สวนสัตว์เมือง Ankara ได้มอบแมวพันธุ์นี้นำเข้าสู่อเมริกา 1 คู่ อีก3 ปี ต่อมาได้มีการปรับปรุงพันธุ์ขึ้นในอังกฤษ
เดวอนเรกซ์ กำเนิดจากการนำแมวบ้านพันธุ์พื้นเมืองผสมกับแมวป่าและได้แมวพันธุ์นี้ออกมา เดวอนเป็นชื่อเมืองที่ให้กำเนิด แมวพันธุ์นี้ถือกำเนิดเมื่อประมาณปี 1960 แรกๆคนนึกว่ามันเป็นพันธุ์เดียวกับแมวพันธุ์คอร์นิซ เรกซ์ แต่การพิสูจน์ทางยีนส์พันธุ์กรรมจะพบว่ามันไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกันแน่นอน ลักษณะนิสัย : ขี้เล่น ชอบซุกซน มีอะไรทำทั้งวัน เรียกว่าท่านจะไม่ผิดหวังถ้าท่านชอบแมวขี้เล่นประจบ
ซิมริค เป็นแมวพันธุ์ขนยาวกำเนิดในอเมริกา ท่าทางการเดินคล้ายหมีคือเวลาเดินจะเซ ไปทางโน้นทีทางนี้ทีเหมือนกับหมีเดิน เสียงร้องเล็กนุ่มหรือเสียงค่อยมาก ขนบริเวณลำตัว จะยาวมากคล้ายแมวเปอร์เซีย
เมียวคูล เป็นแมวที่คนนิยมกันมากอีกพันธุ์หนึ่ง ลักษณะช่วงลำตัวสั้นเตี้ย ผิวขนคล้าย เชือกพันกันเป็นเกลียวมองดูคล้ายแมวพันธุ์เปอร์เซีย มีขนขึ้นปกคลุมหนาแน่นแต่ขนไม่ ยาวปลายหางขนหยาบหนาแน่นรกรุงรังแต่ขนไม่ยาวนัก บริเวณรรอบๆลำคอและโคนของ ใบหูมักพันกันเป็นกระจุก ใบหน้าราบแบน ท่าทางสงบเสงี่ยม แก้มอยู่ในตำแหน่งที่สูง มีโครงกระดูกแก้มใหญ่ ใบหูมีรอยแต้ม ลูกนัยน์ตาเป็นรูปไข่ลาดเอียงยาวติดกับบริเวณ ช่องจมูก จมูกเล็ก เป็นแมวที่มีกล้ามเนื้อขาแข็งแรง บางตัวมีขนาดใหญ่ถึง 13 กิโลกรัม
รัสเซี่ยนบลู เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า แมวรัสเซียสีฟ้า มีถิ่นกำเนิดตามชื่อคือประเทศรัสเซีย แรกเริ่ม เผยแพร่ไปทางประเทศตะวันตกเพราะเป็นของประทานของพระเจ้าชาร์องค์หนึ่งให้แก่นักการ เมืองอังกฤษ จนแพร่หลายต่อมา บางตำนานก็ว่ากลาสีเรือคนหนึ่งได้เอาแมวชนิดนี้ตัวหนึ่งมา แลกกับขาแกะขาหนึ่งกับเจ้าของอู่เรือ เป็นแมวที่น่ารักและสุภาพเรียบร้อย ลำตัวยาวเรียว หู ใหญ่ปลายแหลม ตาสีเขียว ขนสีฟ้าบริสุทธิ์ปราศจากรอยด่าง พร้อยใดๆและขนสั้นราบเรียบ เป็นเงางามอ่อนนุ่ม
สฟิงซ์ บางครั้งใครๆก็เรียกแมวพันธุ์สฟิงซ์ว่าแมวไม่มีขน แม้ว่าอันที่จริงแล้วมันมีขน ปกคลุมอยู่บางๆ โดยจะเห็นได้ชัดเจนที่ปลายลำตัวทั้งสองข้าง แมวไม่มีขนตัวแรกปรากฎ ที่แคนาดาในพ.ศ. 2509 ต่อมาจึงได้กลายเป็นแมวพันธุ์หนึ่ง โดยใช้แมวขนสั้นของอเมริกา มาผสม สมาคมผู้เลี้ยงแมวส่วนใหญ่ไม่ยอมรับแมวพันธุ์นี้ และเป็นพันธุ์ที่มีปัญหาถกเถียง กันอยู่
อียิปต์เชียนมัว แมวพันธุ์นี้มีเชื้อสายจากแมวอียิปต์เพราะคำว่า มัว (Mau) คือภาษาอียิปต์โบราณที่หมายถึงแมวนั่นเอง แมวพันธุ์นี้ถูกนำไปอเมริกาครั้งแรกในปี 1953 สัญลักษณ์ที่ทำให้จดจำได้แม่นยำก็คือ ลายจุดบนตัวนั่นเองลักษณะนิสัย : เป็นแมวเอนกประสงค์ เป็นเพื่อนเด็กได้ แต่จะมีบางอารมณ์ที่ตื่นเต้น มันมักจะไม่ยอมใครนอกจากเจ้าของเท่านั้น
ฮาวานาสีน้ำตาล เกิดจากการนำแมวพันธุ์ขนสั้นสีดำผสมพันธุ์กับแมวไทยวิเชียรมาศที่มียีนส์ของขนสีน้ำตาลแฝงอยู่ ผลที่ได้ คือ ลูกแมวที่มีขนสีน้ำตาลสีเดียว และลูกแมวชุดดังกล่าวถูกนำไปผสมพันธุต่อพัฒนาเป็นสายพันธุแมวพันธุ์ฮาวานา ถูกขนานนามว่า ฮาวานา เนื่องจากแมวพันธุ์นี้มีสีขนเหมือนกับยาสูบที่มีมากๆในกรุงฮาวานานั่นเอง คล้ายแมวไทย ฉลาด รักอิสระเสรี ชอบเที่ยว
เอกซ์โซติคขนสั้น เกิดจากแมวเปอร์เซียร์ผสมพันธุ์กับแมวอเมริกันขนสั้น ทำให้ได้แมวพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะผสมพันธุ์ของทั้งสองสายพันธุ์ เป็นแมวที่ใจเย็น สงบเรียบร้อย ใจดีรักเด็กๆ

อเมริกันขดลวด มีต้นกำเนิดมาจากแมวพันธุ์อเมริกันขนสั้น เกิดจากการผสมพันธุ์แล้วให้ลูกแมวที่มีลักษณะแปลกประหลาด คือ จากที่ขนสั้นแน่นเรียบกลับไปได้ลูกแมวที่มีขนหนาแน่นแต่ขนม้วนชี้เป็นลูกคลื่น ว่ากันว่าแมวพันธุ์นี้กำเนิดในเขตชานเมืองนิวยอร์ค ราวปี 1966 นี่เอง ลักษณะนิสัย : ใจดี ขี้เล่นทั้งวัน ฉลาดและสอนง่าย